20#
发布于:2008-05-10 12:26
狐假虎威(泰语)
หูเจี้ยหู่เวย(狐假虎威)สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ

      ในสมัยจั้นกั๋ว(สงครามระหว่างรัฐ) เมื่อครั้งที่รัฐฉู่เข้มแข็งถึงที่สุด อ๋องฉู่เซวียน(楚宣王)เกิดความคลางแคลงใจว่า เหตุใด ทุกรัฐในแดนเหนือจึงได้กลัวเกรงแม่ทัพซีซู่(奚恤)ซึ่งเป็นแม่ทัพใต้บังคับบัญชาของพระองค์นัก พระองค์จึงได้สอบถามปัญหานี้กับบรรดาขุนนางข้างกายของพระองค์      
      มีขุนนางนามว่า เจียงอี่ว์ (江乙)มิได้ตอบคำถามอ๋องรัฐฉู่โดยตรง แต่กลับเล่านิทานเรื่องหนึ่งถวายพระองค์ เรื่องมีอยู่ว่า

      กาลครั้งหนึ่ง มีเสือตัวใหญ่อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ด้วยความหิว จึงออกมาหาอาหาร และได้พบกับสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินอยู่ในป่าลึก จึงได้ตะครุบเพื่อหวังกินเป็นอาหาร แต่ธรรมชาติของสุนัขจิ้งจอกนั้นมีความกลิ้งกลอก เพื่อความอยู่รอดมันจึงชิงกล่าวกับเสือว่า
      "แกรู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร ข้าได้รับคำสั่งจากสวรรค์ให้มาดูแลควบคุมสัตว์ต่างๆบนโลกนี้ ถ้าแกกินข้าก็เท่ากับขัดคำสั่งสวรรค์ ต้องโดนสวรรค์ทำโทษแน่นอน"
      
      เมื่อเสือได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงัก ในใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พอเห็นดังนั้นจิ้งจอกได้ทีจึงรียพูดต่อว่า
        "ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวเดินตามหลังข้ามา แล้วคอยดูว่าพอสัตว์ต่างๆพบข้า พวกมันต่างก็กลัวจนหัวหดหรือไม่ " เสือได้ฟังก็เห็นว่าวิธีนี้ไม่เลว จึงเดินตามจิ้งจอกไป
      
      ดังนั้นจิ้งจอกเดินนำ เสือเดินตาม เมื่อไปที่ไหน สัตว์น้อยใหญ่เห็นเข้าก็แตกฮือ หนีกระเจิดกระเจิง จิ้งจอกยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่อง ส่วนเสือเห็นดังนั้นก็เริ่มเกรงจิ้งจอกขึ้นมา โดยไม่รู้เลยว่าสัตว์ต่างๆ ไม่ได้กลัวหมาจิ้งจอก แต่วิ่งหนีตนต่างหาก
    
      แม้ว่าแผนการของจิ้งจอกจะสำเร็จ แต่ที่มันสามารถมีชีวิตต่อไปได้ก็ด้วยการหยิบยืมอำนาจของเสือมาใช้ทั้งสิ้น มิใช้ด้วยบารมีของตนเองแต่อย่างใด
      เล่าถึงตรงนี้ ขุนนางเจียงอีว์จึงสรุปว่า ที่รัฐแดนเหนือกลัวแม่ทัพซีซู่ ก็เป็นเพราะกำลังทหารทั้งหมดของท่านอ๋องอยู่ในมือเขา หรือกล่าวได้ว่า ที่ผู้คนกลัวคือบารมีของท่านอ๋อง หาใช่ตัวตนของแม่ทัพซีซู่ไม่
      
      นี่คือที่มาของสุภาษิต “狐假虎威”
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
21#
发布于:2008-05-10 12:25
指鹿为马(泰语)
จื่อลู่เหวยหม่า (指鹿为马): ชี้กวางเป็นม้า

      ในสมัยฮ่องเต้องค์ที่ 2 ของราชวงศ์ฉิน มีขันทีนามว่า เจ้าเกา (赵高) เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง เฝ้าคิดช่วงชิงบัลลังก์ฮ่องเต้ แต่อย่างไรก็ตาม ในราชวังก็ยังคงมีขุนนางที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้อยู่ไม่น้อยที่เป็นเสี้ยนหนามของเจ้าเกา ดังนั้นเจ้าเกาจึงคิดหาวิธีที่จะทดสอบว่าตนเองมีบารมีมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบได้ว่าใครเป็นปรปักษ์ต่อเขา
    
      วันหนึ่งขณะที่ฮ่องเต้กำลังออกว่าราชการ เจ้าเกาให้คนจูงกวางเข้ามาในเขตพระราชฐาน 1 ตัว แล้วเขาจึงกราบทูลต่อฮ่องเต้ว่า
      “กระหม่อมได้นำม้าลักษณะดีตัวนี้มาถวายต่อพระองค์”
    
      ฮ่องเต้ได้ฟังก็คิดในใจว่า นี่มันกวางชัดๆ จึงตรัสกับเจ้าเกาว่า
      “เจ้าเกาท่านผิดแล้ว นี่มันกวางชัดๆ ใยท่านบอกว่าเป็นม้า”
      
      แต่อย่างไรเสียเจ้าเกาก็ดันทุรังว่าสัตว์ที่ตนเองนำมานั้นเป็นม้าอย่างแน่นอน ทำให้ฮ่องเต้เริ่มหวั่นไหวใจ ตรัสถามว่า หากเป็นม้าทำไมมีเขายาว เมื่อเห็นดังนั้น เจ้าเกาก็ดำเนินตามแผนที่วางไว้ กล่าวคือหันไปทางขุนนางน้อยใหญ่ที่อยู่ในที่นั้นและกราบทูลฮ่องเต้ว่า
      “หากพระองค์ไม่เชื่อ สามารถสอบถามเหล่าขุนนางพวกนี้ได้ว่าแท้จริงแล้วสัตว์ตัวนี้คืออะไร”  
  
      พลัน เหล่าขุนนางก็เข้าใจแผนการของเจ้าเกา ที่ต้องการตรวจสอบว่ามีคนคิดเป็นปรปักษ์กับเขาหรือไม่ บรรดาขุนนางน้อยที่ขี้ขลาดตาขาวหลายคนต่างก้มหน้านิ่งไม่กล้าพูดจา เนื่องจากไม่กล้าขัดใจเจ้าเกา แต่ทางหนึ่งก็ไม่อยากกล่าวคำที่เห็นชัดๆว่าเป็นเท็จออกมา มีขุนนางซื่อสัตย์บางคนยืนยันว่าที่เห็นอยู่เป็นกวางอย่างแน่นอน และอีกหลายคนที่เป็นคนของเจ้าเกา หรือคิดที่จะสวามิภักดิ์ต่อเจ้าเกา ก็ตอบว่า ที่เห็นนั่นคือม้าอย่างมิต้องสงสัย
      
      ด้วยแผนการนี้ ขันทีโฉดจึงสามารถแบ่งแยกขุนนางในวังได้ว่าใครเป็นพวกเดียวกับเขา และใครไม่ใช่ หลังจากนั้นจึงค่อยๆ หาวิธีการกำจัดคนที่ไม่คิดสวามิภักดิ์ต่อตนออกไปจนหมดสิ้น
      
      ปัจจุบันใช้สำนวนนี้เพื่อเปรียบเทียบ การจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง กลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
22#
发布于:2008-05-10 12:24
画饼充饥(泰语)
"ฮว่าปิ่งชงจี" (画饼充饥) : วาดรูปแป้งทอดแก้ความหิวโหย

      画 อ่านว่า huà แปลว่า วาดภาพ
      饼 อ่านว่า bǐng แปลว่า แป้งทอด
      充 อ่านว่า chōng แปลว่า เติมเต็ม
      饥 อ่านว่า jī แปลว่า หิวโหย t
        
      "ฮว่าปิ่งชงจี" คำแปล วาดรูปแป้งทอดแก้ความหิวโหย
        
      ในสมัยสามก๊ก มีชายผู้หนึ่งนามว่า หลูอี้ว์(卢毓) ซึ่งรับราชการอยู่ในรัฐเว่ย และเนื่องจากเขาได้คอยเสนอแนวคิดในการปกครองที่เป็นประโยชน์ต่ออ๋องเว่ยเหวินตี้มากมาย ดังนั้นท่านอ๋องจึงให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง และแต่งตั้งเขาเป็นอัครเสนาบดี
      
      ครั้งหนึ่ง อ๋องเว่ยเหวินตี้กล่าวกับหลูอี้ว์ว่า "รัฐของเราจะมีผู้มีความสามารถมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการคัดเลือกของท่าน จงอย่าเลือกใช้คนที่ชื่อเสียง เพราะผู้ที่มีชื่อเสียงก็เปรียบเสมือนการวาดรูปแป้งทอดลงบนพื้นดิน ได้แต่มองดูไม่สามารถกิน "
      
      หลูอี้ว์ ตอบว่า "อาศัยเพียงชื่อเสียงไม่สามารถวัดความสามารถของผู้ใดก็จริงแต่ก็สามารถทำให้ค้นพบผู้ที่มีความสามารถ เพราะคนเราเมื่อมีความสามารถ พฤติกรรมดีก็เป็นธรรมดาที่ย่อมมีชื่อเสียง ซึ่งเราไม่ควรมองข้ามพวกเขาไป ดังนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งสำคัญคือต้องทดสอบพวกเขา ว่าพวกเขามีความสามารถจริงหรือไม่ ทว่าตอนนี้ไม่มีระบบการสอบเพื่อคัดเลือกคนมีความสามารถ แต่อาศัยเพียงชื่อเสียงของผู้นั้นในการมอบตำแหน่งให้พวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง " 
      
      อ๋องเว่ยเหวินตี้เห็นด้วยกับความเห็นของ หลูอี้ว์ และกำหนดให้มีการใช้ระบบการสอบเพื่อเข้ารับราชการ
      
      ปัจจุบัน "ฮว่าปิ่งชงจี" ใช้เพื่อเปรียบเทียบกับการวาดมโนภาพขึ้นในใจเพื่อปลอบโยนตนเอง
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
23#
发布于:2008-05-10 12:22
杞人忧天(泰语)
ฉี่เหรินโยวเทียน(杞人忧天) : คนเมืองฉี่กังวลต่อฟ้า
 

      ในสมัยอดีตกาล รัฐฉี่(สมัยโจว ปัจจุบันอยู่ในมณฑลหูหนาน) มีชายผู้หนึ่งเป็นคนขี้ขลาดตาขาว และสติไม่ค่อยสมประกอบ เขามักจะขบคิดอยู่กับปัญหาแปลกประหลาด และเป็นปัญหาที่เมื่อเอาไปถามใครก็ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเป็นคำถามที่ไร้สาระ หาแก่นสารไม่ได้
        
      อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเขารับประทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว ก็ถือพัดออกไปนั่งอยู่ที่หน้าประตูบ้าน และรำพึงรำพันกับตัวเองว่า
    
      "ถ้าวันใดวันหนึ่ง ฟ้าถล่มลงมา แล้วเราจะทำยังไงดีนะ จะหนีก็คงหนีไม่ทัน ต้องโดนฟ้าทับตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่แน่ๆ"
    
      ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็เอาแต่วิตกกังวลอยู่กับปัญหานี้ เพื่อนฝูงเมื่อเห็นว่าสติเขาเริ่มฟั่นเฟือนลงไปทุกวันๆ หน้าตาก็เศร้าหมองอมทุกข์ ก็ต่างเป็นห่วงเป็นใย และช่วยกันเตือนสติชายผู้นี้ว่า
        
      "เพื่อน ท่านอย่างมานั่งวิตกกังวลกับปัญหาแบบนี้เลย ท้องฟ้าไม่มีทางถล่มลงมาหรอก หรือถ้าสมมติว่าฟ้าถล่มลงมาจริง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่านเพียงคนเดียวมาขบคิดวิเคราะห์แล้วสามารถแก้ไขได้ เพราะใต้ฟ้าก็ไม่ได้มีท่านเพียงคนเดียว ปล่อยวางเสียเถอะ"
      
      อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะตักเตือนหรือปลอบใจอย่างไร ชายชาวเมืองฉี่ผู้นี้ก็ไม่เชื่อ ยังคงวิตกกังวลกับปัญหานี้ต่อไป
      
      ต่อมา คนยุคหลังได้นำเรื่องเล่านี้มาตั้งเป็นสุภาษิต ฉี่เหรินโยวเทียน แปลตรงตัวคือ คนเมืองฉี่กังวลต่อฟ้า โดยในเรื่องคือคนเมืองฉี่กลัวฟ้าถล่ม ใช้เปรียบเทียบผู้ที่มัววิตกกังวลอยู่กับเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ หรือเรื่องที่ไม่มีที่มาที่ไป ไร้สาระ
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
上一页 下一页
游客

返回顶部